Anarchic Orders and Balances of Power by Kenneth N. Waltz
บทความเรื่อง Anarchic Orders and Balances of Power เป็นส่วนหนึ่งของหนังสือ Theory of International Politics (1979) ของ Kenneth N. Waltz ซึ่งถือเป็นตำราเล่มสำคัญของสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ในบทความชิ้นนี้ Waltz ต้องการชี้ให้เห็นการปฏิสัมพันธ์ของรัฐภายใต้โครงสร้างในระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตย (anarchic structure) ตลอดจนเสนอแนะทางเลือกของรัฐเพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงและความอยู่รอดปลอดภัยผ่านการถ่วงดุลอำนาจ (balance of power) ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจข้อถกเถียงหลักของ Waltz ในงานชิ้นนี้ จะแบ่งการพิจารณาแนวคิดหลักของ Waltz ออกเป็น 3 ส่วนได้แก่เรื่องอนาธิปไตย โครงสร้าง และการถ่วงดุลอำนาจ โดยท้ายที่สุดจะสรุปให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดทั้ง 3 อันถือเป็นแก่นหลักของข้อเสนอของนักสัจนิยมใหม่ (Neorealist) อย่าง Waltz ในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามแต่ในการทำความเข้าใจแนวคิดหลักของ Waltz เลี่ยงมิได้ที่จะพิเคราะห์ถึงภูมิหลังและขนบทางความคิดซึ่งมีผลต่อการพัฒนาแนวคิดข้างต้นของ Waltz เสียก่อนเป็นอันดับแรก Waltz มีพื้นฐานทางความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ก่อนที่จะหันเหนความสนใจไปสู่รัฐศาสตร์ในภายหลัง อย่างไรก็ตามแต่ในงานเขียนของ Waltz หลายชิ้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลทางความคิดทางเศรษฐศาสตร์ซึ่ง Waltz ใช้เพื่อพัฒนาการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้เป็นระบบมากยิ่งขึ้น พิจารณาได้จากงาน Realist Thought and Neorealist Theory ซึ่งสะท้อนความพยายามของ Waltz ในการสร้างทฤษฏีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งยึดโยงอยู่กับความสำเร็จของเศรษฐศาสตร์ (Waltz, 2008) นอกเหนือจากขนบทางความคิดแบบเศรษฐศาสตร์ เฉกเช่นเดียวกับนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคเดียวกับเขา Waltz ยังมีพื้นฐานทางทฤษฏีการเมือง[1]อันปรากฏให้เห็นได้ในงานของ Waltz ซึ่งมักหยิบยกความคิดและปรัชญาการเมืองของนักคิดหลายท่านอาทิ Machiavelli, Hobbes, Spinoza และ Kant เพื่อใช้เป็นพื้นฐานทางความคิดอันปรากฏให้เห็นในงานชิ้นสำคัญๆเช่น Man, the State, and War (1959) ซึ่ง Waltz เสนอการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ (3 images/levels of international relations) ได้แก่ระดับบุคคล ระดับรัฐ และระดับระบบระหว่างประเทศนั่นเอง
แนวคิดเรื่องอนาธิปไตย
Waltz เริ่มต้นงานชิ้นนี้ด้วยการชี้ให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการเมืองระหว่างประเทศ (international politics) และการเมืองภายในประเทศ (domestic politics) ซึ่งมิได้อยู่ที่การใช้ความรุนแรง (violence) หากแต่อยู่ที่โครงสร้าง (structure) และรูปแบบขององค์กรภายใน (mode of organization) กล่าวคือในการเมืองภายในมีรูปแบบการจัดการองค์กรซึ่งมีรูปแบบสายบังคับบัญชา (hierarchy) กล่าวคือมีรัฐบาลผูกขาดอำนาจในการควบคุมดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยภายในรัฐ ในทางตรงกันข้ามการเมืองระหว่างประเทศขับเคลื่อนอยู่ในสภาวะอนาธิปไตย (anarchy) โดยWaltz หยิบยกคำอธิบายของ Hobbes เพื่ออธิบายสภาวะอนาธิปไตยในสังคมระหว่างประเทศ โดย Hobbes ชี้ว่าในสภาวะก่อนการก่อตัวขึ้นของรัฐ (pre-state) หรือเรียกว่าเป็นสภาวะธรรมชาติ (state of nature) มีลักษณะ “โดดเดี่ยว ยากแค้น น่ารังเกียจ โหดร้าย และมีชีวิตสั้น” (solitary, poor, nasty, brutish and short) กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเป็นสภาวะแห่งสงครามนั่นเอง (state of war) โดยในทรรศนะของ Waltz การเมืองระหว่างประเทศ เป็น Domain ซึ่งปราศจากรัฐบาลโลกในการควบคุมดูแล ตลอดจนค้ำประกันความมั่นคงปลอดภัย รัฐแต่ละรัฐจึงต้องช่วยเหลือตัวเอง (self-help) เพื่ออยู่รอดในระบบระหว่างประเทศโดยไม่สามารถไว้ใจหรือหวังพึ่งพารัฐอื่นได้ ทั้งนี้เหนือสิ่งอื่นใดในสภาวะอนาธิปไตย ความมั่นคงและความอยู่รอดปลอดภัยถือเป็นสิ่งที่รัฐให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างการเมืองภายในประเทศและการเมืองระหว่างประเทศในทรรศนะของ Waltz
Waltz ใช้คำอุปมา (analogy) ทางเศรษฐศาสตร์เพื่ออธิบายการพึ่งพาตนเองของรัฐในระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตย โดย Waltz ชี้ว่าในขณะที่การเมืองในประเทศการสร้างความชำนาญเฉพาะด้าน (specialization) ซึ่งเป็นแนวคิดที่พัฒนามาจากการแบ่งงานกันทำ (division of labor) เป็นสิ่งที่พบเห็นได้โดยทั่วไปเพราะก่อให้เกิดจำนวนผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เมื่อปรับใช้แนวคิดข้างต้นเพื่ออธิบายลักษณะของการสร้างความชำนาญเฉพาะตัวของบุคคลในแต่ละรัฐสะท้อนให้เห็นผ่านความชำนาญในอาชีพของแต่ละบุคคล และก่อให้เกิดการพึ่งพากันในท้ายที่สุด โดย Waltz ยกตัวอย่างความร่วมมือที่ปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรมระหว่างเมือง Kansas และ Washington กล่าวคือ Kansas จะจัดสรรวัตถุดิบทางการเกษตรให้กับ Washington และในทางกลับกัน Washington ก็จะให้ความคุ้มครองและค้ำประกันความมั่นคงปลอดภัยให้กับ Kansas อย่างไรก็ตามแต่ในบริบทระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตย รัฐไม่สามารถยินยอมให้เกิดการสร้างความชำนาญเฉพาะด้านได้ ซึ่งแม้การสร้างความชำนาญเฉพาะด้านจะนำมาซึ่งการเพิ่มพูนของผลประโยชน์ของรัฐ ยกตัวอย่างเช่นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามแต่ในสภาวะอนาธิปไตย รัฐไม่สามารถไว้ใจหรือฝากชะตาชีวิตของตนไว้กับรัฐหนึ่งรัฐใดได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งรัฐจำต้องดูแลตัวเองและลดระดับการพึ่งพิง (dependent) กับรัฐอื่นให้น้อยที่สุด เหนือสิ่งอื่นใด จุดประสงค์หลักของรัฐมิใช่การเพิ่มพูนผลประโยชน์ (maximize benefits) หากแต่คือการเอาตัวรอด (survive) ในสภาวะอนาธิปไตย โดย Waltz ชี้ให้เห็นว่ายิ่งรัฐสร้างความชำนาญเฉพาะด้านเพิ่มมากขึ้นเท่าได้ ยิ่งเป็นการพึ่งพิงกับรัฐอื่นๆมากขึ้นเท่านั้น (The more a state specializes, the more it relies on others.)
แนวคิดเรื่องโครงสร้างในระบบระหว่างประเทศ
Waltz แตกต่างจากนักสัจนิยมดั้งเดิม(Classical Realist) ซึ่งอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศซึ่งยึดอยู่การอธิบายพฤติกรรมรัฐซึ่งยึดโยงอยู่กับพฤติกรรมของมนุษย์ อาทิ แนวคิดของ Morgenthau ซึ่งมองว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีลักษณะของ “Animus Dominandi” หรือมีความปรารถนาในอำนาจ (lust for power) นั่นเอง โดย Classical Realist ชี้ว่ารัฐในระบบระหว่างประเทศก็มิได้มีพฤติกรรมอันผิดแผกแตกต่างจากพฤติกรรมของมนุษย์ อย่างไรก็ตามแต่นักสัจนิยมใหม่ (Neorealist) อย่าง Waltz มิได้ศึกษาพฤติกรรมของรัฐ หากแต่ Waltz เสนอความคิดเรื่องโครงสร้าง (structure) โดย Waltz มอง state เป็น black box และไม่สนใจพฤติกรรมของแต่ละรัฐซึ่งถือเป็นปัจจัยภายใน (internal factor) หากแต่พิจารณาที่โครงสร้างและการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเป็นสำคัญ โครงสร้างของระบบระหว่างประเทศในทรรศนะของ Waltz เป็นสิ่งที่กำกับควบคุม (constraint) รัฐและเป็นสิ่งที่รัฐไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ตลอดจนเป็นเครื่องกีดขวางความร่วมมือ (cooperation) ที่จะเกิดขึ้นระหว่างรัฐ โดยรัฐในมุมมองแบบ Realist ให้ความสำคัญกับ relatives gain[2] โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติทางความมั่นคง อย่างไรก็ตามแต่โครงสร้างในระบบระหว่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงได้ หากเกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงสมรรถนะหรือศักยภาพของแต่ละรัฐ ท้ายที่สุดแล้ว Waltz เชื่อว่ารัฐมีปฏิสัมพันธ์ภายใต้โครงสร้างในระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตยโดยการกระจายขีดความสามารถของรัฐ (distribution of power) นำไปสู่การจัดวางตำแหน่งแห่งที่ บทบาท ตลอดจนพฤติกรรมของรัฐ โดยการกระจายขีดความสามารถของรัฐนี้มีความสำคัญยิ่งในการก่อตัวและการพัฒนาทางความคิดเรื่องโครงสร้างของ Waltz กล่าวคือ ในสภาวะอนาธิปไตย รัฐจำต้องพึ่งพาตัวเอง (self-help) เพื่ออยู่รอด อย่างไรก็ตามแต่รัฐแต่ละรัฐล้วนมีศักยภาพหรือขีดความสามารถที่แตกต่างกัน ทางเลือกของรัฐในทรรศนะของ Waltz คือการสร้างพันธมิตรและการถ่วงดุลอำนาจเพื่อรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดปลอดภัยของรัฐในท้ายที่สุดนั่นเอง
แนวคิดเรื่องการถ่วงดุลอำนาจ (balance of power)
ภายใต้โครงสร้างของระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตย และรัฐจำต้องแสวงหาหนทางเพื่อค้ำประกันและรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ ซึ่ง Waltz ชี้ว่าหนทางหนึ่งคือการถ่วงดุลอำนาจซึ่งปรากฏให้เห็นผ่านการพัฒนาเศรษฐกิจและการทหารภายในรัฐซึ่งจัดเป็นปัจจัยภายใน (internal factors) และการเข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับรัฐอื่นซึ่งเป็นปัจจัยภายนอก (external factors) ทั้งนี้หากจะนิยามการถ่วงดุลอำนาจในทรรศนะของ Waltz อาจกล่าวได้ว่าคือการเข้าเป็นพันธมิตรกับรัฐอื่นๆเพื่อถ่วงดุลมิให้รัฐใดขึ้นมามีอำนาจเหนือตนนั่นเอง อย่างไรก็ตามแต่นอกเหนือจากรูปแบบของการถ่วงดุลอำนาจ Waltz ยังชี้ให้เห็นว่ายังมีอีกรูปแบบหนึ่งซึ่งรัฐอาจเลือกใช้เพื่อรักษาไว้ซึ่งความความอยู่รอดปลอดภัยของรัฐนั่นคือรูปแบบของการร่วมขบวน (bandwagon) หรือการเลือกเข้าข้างรัฐที่เข้มแข็งเพื่อรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอด ตัวอย่างที่ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ Mussolini เลือกเข้าร่วมกับ Hitler ซึ่งทำให้อิตาลีมีสถานะเป็น Junior Partner ของเยอรมนีและสูญเสียอำนาจในการกำหนดนโยบายของตน (Waltz, 2008: 87) ภายใต้รูปแบบของโครงสร้างของระบบระหว่างประเทศแบบอนาธิปไตย Waltz ชี้ว่า รัฐจะเลือกใช้การถ่วงดุลอำนาจเนื่องจากไม่มีหลักประกันว่ารัฐที่เข้มแข็งกว่าจะไม่รุกรานตน เพราะเป้าหมายหลักของรัฐคือการรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดปลอดภัยนั่นเอง แม้ Waltz จะให้ความเห็นว่ารูปแบบการถ่วงดุลอำนาจเป็นรูปแบบที่ทรงประสิทธิภาพมากที่สุดในการรักษาไว้ซึ่งความอยู่รอดของรัฐ แต่ Waltz ก็ยอมรับว่าแนวคิดเรื่องการถ่วงดุลอำนาจยังมีจุดอ่อนสำคัญ คือการคาดเดาสถานการณ์ได้อย่างจำกัด ยิ่งไปกว่านั้นแม้ Waltz จะพยายามพัฒนาและศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเชิงโครงสร้าง แต่ Waltz เองก็ยอมรับว่าปัจจัยภายในเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรละเลยในการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
กล่าวโดยสรุปแล้วในบทความชิ้นนี้ Waltz พยายามฉายภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศผ่านมุมมองของนักสัจนิยมใหม่ โดยงานของ Waltz สะท้อนความสัมพันธ์ของ 3 แนวคิดหลักอันได้แก่ แนวคิดเรื่องอนาธิปไตย โครงสร้างและการถ่วงดุลอำนาจซึ่งมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน กล่าวคือภายใต้แนวคิดเรื่องอนาธิปไตยอันปราศจากซึ่งรัฐบาลโลกหรือองค์กรอันมีอำนาจเหนือรัฐอธิปไตย รัฐมีวัตถุประสงค์ประการสำคัญคือความมั่นคงปลอดภัยและความอยู่รอดปลอดภัย รัฐจำต้องพึ่งพาตนเองและไม่สามารถที่จะไว้ใจหรือพึ่งพารัฐอื่นได้ ทั้งนี้แม้โดยหลักแล้วรัฐในสภาวะอนาธิปไตยจะมีความเท่าเทียมกันในแง่ของความเป็นรัฐอธิปไตย อย่างไรก็ตามแต่ความแตกต่างประการสำคัญคือศักยภาพหรือขีดความสามารถของแต่ละรัฐอันปราศจากซึ่งความเท่าเทียมกัน ความแตกต่างกันในเชิงศักยภาพของแต่ละรัฐมีผลสำคัญยิ่งต่อการก่อตัวทางความคิดเรื่องโครงสร้างของ Waltz ซึ่ง Waltz ชี้ว่าในระบบระหว่างประเทศรัฐทั้งหลายจะถูกกำหนดบทบาทและพฤติกรรมผ่านศักยภาพและโครงสร้างของระบบระหว่างประเทศ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว เพื่อรักษาไว้ซึ่งความมั่นคงปลอดภัย การถ่วงดุลอำนาจถือเป็นยุทธวิธีอันทรงประสิทธิภาพมากที่สุด
บรรณานุกรม
Theory talks. ” Kenneth Neal Waltz – The Physiocrat of International
Politics.”[Online]. Available: http://www.theory-talks.org/2011/06/
theory-talk-40.html
Waltz, Kenneth N. Man, the state and war : A theoretical analysis , New York :
Columbia University Press, 1959.
________________. Theory of international politics , London : Addison-Wesley
Publishing Company, 1979
________________. Realism and international politics, London :
Routledge, 2008
[1] Waltz ให้สัมภาษณ์ว่าแท้จริงแล้วเขามีความประสงค์ที่จะสอนในสาขาทฤษฏีการเมือง แต่ในช่วงเวลาดังกล่าว มหาวิทยาลัยในสหรัฐอเมริกาไม่มีตำแหน่งว่าง ดังนั้นเขาจึงไปสมัครในสาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดูเพิ่มเติมที่ http://www.theory-talks.org/2011/06/theory-talk-40.html
[2]มุมมองแบบ relative gain เป็นมุมมองของสำนักคิดในสกุลสัจนิยมซึ่งให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของรัฐที่ได้เปรียบรัฐอื่นในเชิงเปรียบเทียบและไม่ต้องการให้รัฐอื่นได้ผลประโยชน์มากกว่าตน โดยมุมมองเช่นนี้ตรงข้ามกับมุมมองของสำนักเสรีนิยมซึ่งเสนอสิ่งที่เรียกว่า absolute gain อันมองว่ารัฐทั้งหลายแม้จะได้ผลประโยชน์โดยไม่เท่าเทียมกัน แต่รัฐทุกรัฐก็ล้วนได้ผลประโยชน์ด้วยกันทั้งสิ้น