จีนและสหรัฐฯกับความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์อันปราศจากความไว้เนื้อเชื่อใจ *
ฑภิพร สุพร
เป็นที่ประจักษ์ว่ายุทธศาสตร์การถ่วงดุลครั้งใหม่ (Rebalancing) ในสมัยประธานาธิบดี Barack Obama ประสบความล้มเหลวในการสร้างความเชื่อใจระหว่างสหรัฐฯจีน ตลอดจนทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจทางยุทธศาสตร์ (Strategic Confidence) ระหว่างทั้งสองประเทศ อาจพิจารณาต่อไปได้ว่าการขาดความไว้วางใจระหว่างกันถือเป็นอุปสรรคประการสำคัญต่อการพัฒนาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯและจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงยามที่มหาอำนาจทั้งสองอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านอำนาจของผู้นำของทั้งสองประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากบทเรียนทางประวัติศาสตร์ การสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างชาติมหาอำนาจโดยปราศจากซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันก็อาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ดังพิจารณาได้จากความพยายามของอังกฤษและสหภาพโซเวียตซึ่งมุ่งหมายที่จะต่อสู้กับนาซีเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 หรือกรณีการสร้างความร่วมมือระหว่างจีนและสหรัฐฯในสมัยประธานาธิบดี Richard Nixon และ Mao Zedong ในช่วงทศวรรษที่ 1970 ซึ่งตัดสินใจสร้างความร่วมมือระหว่างโดยที่ทั้ง Nixon และ Mao ต่างมิได้ไว้ใจซึ่งกันและกัน ในกรณีของสหรัฐฯ การสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์กับรัฐมหาอำนาจมักอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อใจมากกว่าผลประโยชน์ที่สหรัฐฯมีร่วมกับชาติอื่น ยกเว้นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและสหราชอาณาจักรซึ่งมีลักษณะตรงกันข้าม ดังนั้นอาจพิจารณาได้ว่าแม้ยุทธศาสตร์การถ่วงดุลครั้งใหม่จะบั่นทอนความเชื่อใจระหว่างสหรัฐฯและจีน แต่กระนั้นก็ยังมีความเป็นไปได้ที่มหาอำนาทั้งสองอาจพัฒนาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างกันในอนาคต
ในทรรศนะของนักสัจนิยมชาวจีน ยุทธศาสตร์การถ่วงดุลครั้งใหม่ของสหรัฐฯมีที่มาจากปัจจัย 2 ประการได้แก่ ประการแรก สหรัฐฯต้องการรักษาสถานะมหาอำนาจหนึ่งเดียวของสหรัฐฯถูกท้าท้ายโดยการผงาดขึ้นมามีอิทธิพลของจีน และประการที่สอง การเปลี่ยนแปลงของศูนย์กลางอำนาจจากยุโรปสู่เอเชียตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มว่าจะแซงหน้าเหนือเศรษฐกิจของทวีปยุโรป
แม้จะมีข้อเสนอว่ายุทธศาสตร์การถ่วงดุลครั้งใหม่นั้นมุ่งหมายที่จะควบคุมและจำกัดบทบาทของจีนมิให้มีอิทธิพลในเอเชียตะวันออก แต่นักยุทธศาสตร์กระแสหลักชาวจีนกลับยืนยันว่าการสร้างความไว้เนื้อเชื่อระหว่างกันถือเป็นเงื่อนไชสำคัญในการสร้างความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ ตลอดจนแสดงความกังวลว่าการปราศจากความเชื่อใจระหว่างสหรัฐฯและจีนจะบ่อนทำลายความสัมพันธ์ของมหาอำนาจทั้งสองและเพิ่มความเสี่ยงสู่การก่อสงครามระหว่างกันในอนาคต นอกจากนี้ยังปฏิเสธได้ยากว่าการติดต่อสื่อสารถือเป็นช่องทางอันมีประสิทธิภาพในการพัฒนาความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างสหรัฐฯและจีน
อย่างไรก็ตาม การปราศจากซึ่งความไว้เนื้อใจและความหวาดระแวงระหว่างมหาอำนาจทั้งสองจะทำให้ทั้งสหรัฐฯและจีนต่างต้องการหลีกเลี่ยงการปะทะกันทางทหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองประเทศต่างเป็นรัฐที่ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ด้วยกันทั้งคู่ การสร้างความร่วมมือโดยมีพื้นฐานอยู่บนความไม่เชื่อใจกันจึงอาจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือสหรัฐฯและจีนซึ่งมีรูปแบบความสัมพันธ์แบบผิวเผิน (Superficial) และปราศจากความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน แต่จีนและสหรัฐฯต่างก็มีเป้าประสงค์และผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ร่วมกัน
หลักการการขับเคี่ยวแข็งขันกันอย่างสันติ (Peaceful Competition) ถือเป็นหลักการที่มีประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯในบริบทปัจจุบันมากกว่าหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (Peaceful Coexistence) โดยหนทางหนึ่งที่ทั้งจีนและสหรัฐฯจะสามารถบรรลุหลักการการขับเคี่ยวแข็งขันกันอย่างสันติได้นั้นอาจต้องกระทำผ่านแนวทางการสร้างความร่วมมือเชิงป้องกัน (Preventive Cooperation)
Yan Xuetong ชี้ว่าคงเป็นการยากที่สหรัฐฯและจีนจะสร้างความเชื่อใจระหว่างกันได้ ดังนั้นทั้งสองประเทศจึงควรให้ความสนใจกับการพัฒนาความร่วมมือเชิงป้องกันระหว่างกัน โดยความร่วมมือดังกล่าวอาจมีพื้นฐานมาจากทั้งความขัดแย้งตลอดจนผลประโยชน์ร่วมกันของทั้งสองประเทศ การพัฒนาความร่วมมือเชิงป้องกันระหว่างกันนั้นมิได้เกิดขึ้นแต่ในเฉพาะมิติทางการทหาร หากแต่ครอบคลุมประเด็นความมั่นคงรูปแบบใหม่หรือความมั่นคงไม่ตามแบบ (Nontraditional Security) อาทิ เรื่องความมั่นคงทางพลังงาน ความมั่นคงทางการเงิน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
Yan Xuetong กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่าข้อเรียกร้องที่ให้จีนและสหรัฐฯให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือเชิงป้องกันระหว่างกันไม่ได้หมายความว่าจะให้ทั้งสองประเทศละทิ้งความพยายามในการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจหรือพัฒนาผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน แต่การสร้างความร่วมมือเชิงป้องกันระหว่างกันจะเป็นช่องทางที่ทำให้ทั้งสหรัฐฯและจีนก้าวเดินสู่การสร้างความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์อันมีเสถียรภาพ
__________________________________________________
* สรุปความจาก Yan Xuetong. “Strategic Cooperation without Mutual Trust: A Path Forward for China and the United States.” Asia Policy 15.1 (2013): 4-6.